เจ็บเยอะ,ลุ้นแนวรุกเด็ด ! วิเคราะห์ 5 ข้อ ลิเวอร์พูล รับมือ มิดทิลแลนด์

ลิเวอร์พูล ยังคงต้องเจอกับปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะหลายคนทำให้แผนการโรเตชั่นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ต้องเจอกับความยากลำบากพอสมควร สำหรับแมตช์รับมือ มิดทิลแลนด์ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี ในวันอังคารที่ 27 ตุลาคมนี้
    "หงส์แดง" หมดสิทธิ์ใช้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ในฐานะหัวใจเกมรับ ทำให้ทีมยังต้องพึ่งพา ฟาบินโญ่ ในตำแหน่งนี้ ขณะที่แผงกองกลางก็ไม่มี ติอาโก้ อัลกันตาร่า กับ นาบี เกอิต้า ที่ยังมีปัญหาบาดเจ็บ เช่นเดียวกับ โฌแอล มาติป ที่จะต้องพลาดแมตช์นี้เช่นกัน

    อย่างไรก็ตามการที่ "เดอะ เร้ดส์" ได้ อลีสซง เบ็คเกอร์ คอยทำหน้าที่เฝ้าเสา อย่างน้อยๆ ก็รู้สึกอุ่นใจ ในส่วนของแนวรุกงานนี้ คล็อปป์ อาจจะใช้ออปชั่นพิเศษในการเลือก ทาคูมิ มินามิโนะ ลงเล่นตัวจริงหลังจากนักเตะทำผลงานได้ดีแม้จะเป็นแค่ตัวสำรองในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม

1. ปัญหาบาดเจ็บส่งผลระบบโรเตชั่นรวน

    ลิเวอร์พูล ยังคงต้องเจอกับวิบากกรรมเรื่องปัญหานักเตะบาดเจ็บหลายคน นั่นหมายความว่าไม่ใช่งานง่ายสำหรับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในการที่จะใช้ระบบโรเตชั่นสำหรับแมตช์รับการมาเยือนของ มิดทิลแลนด์ แชมป์ลีกจากประเทศเดนมาร์ก

    แน่นอนว่า "หงส์แดง" จะไม่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ต้องผ่าตัดเอ็นไขว้หัวเข่า และมีแนวจะต้องพักนานหลายเดือน ขณะที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายบาดเจ็บกลับมาช่วยทีมได้ นอกจากนี้ในเกมรับพวกเขายังไม่มี โฌแอล มาติป เช่นเดียวกันแผงกองกลางที่ขาด ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ นาบี เกอิต้า ซึ่งทั้งหมดนี้มีปัญหาบาดเจ็บ ไม่ได้ลงเล่นในเกมลีกสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังไม่พร้อมที่จะช่วยทีมในแมตช์ถ้วยใบโตยุโรป

    ในรายของ ติอาโก้ ซึ่งคาดว่านักเตะจะฟิตร่างกายกลับมาช่วยทีมได้ในเกมปะทะ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด จำเป็นต้องให้พักร่างกายเพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน หลังจากที่เจ้าตัวได้รับบาดเจ็บจากการเข้าเสียบอย่างรุนแรงของ ริชาร์ลิสัน ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ เสมอ เอฟเวอร์ตัน

    ส่วนการขาดหายไปของ มาติป แน่นอนว่า นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช จำเป็นต้องใช้ ฟาบินโญ่ ยืนเป็นคู่หูเซนเตอร์แบ็กกับ โจ โกเมซ ต่อไปอีกแมตช์ ซึ่งจะว่าไปแล้วทั้งสองคนก็ทำผลงานได้เข้าขากัน และมีการพัฒนาในเรื่องเกมรับที่ดีวันดีคืน

    สำหรับแบ็กขวา เนโก วิลเลี่ยมส์ ยังเป็นตัวเลือกที่ กุนซือชาวเยอรมัน อาจจะใช้งานหากต้องการพัก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ด้านแบ็กซ้าย คอสตาส ซิมิคาส ยังมีปัญหาบาดเจ็บ ทำให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ยังคงต้องลงเล่นตัวจริงต่อไป
 
2. แผงกองกลางขาดเยอะ แนวรุกหน้าอาจเปลี่ยนโฉม

    สำหรับแผงมิดฟิลด์ในเวลานี้ตัวเลือกสำคัญอย่าง ติอาโก้ และ เกอิต้า ยังมีปัญหาบาดเจ็บ และจำเป็นต้องพักฟื้นร่างกายอีกหลายวัน ขณะที่ ฟาบินโญ่ จำเป็นต้องขยับลงไปเล่นเป็นเซนเตอร์แบ็ก นั่นหมายความว่า คล็อปป์ มีทางเลือกไม่มากนักในการจัดแดนกลางแมตช์นี้

    ขณะเดียวกันดูเหมือนว่า คล็อปป์ ต้องการที่จะพักร่างกายของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งกรำศึกหนักมาหลายแมตช์ ด้วยเหตุนี้ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าแผงกองกลางจะได้เห็น เจมส์ มิลเนอร์ ทำหน้าที่ร่วมกับ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม โดยมี เคอร์ติส โจนส์ มิดฟิลด์ดาวรุ่งพุ่งแรง เป็นตัวเลือกหากเกิดกรณีฉุกเฉิน

    ส่วนอีกรายที่น่าจะได้ลงสนามนั่นก็คือ เซอร์ดาน ชากีรี่ ที่จะได้ทำงานร่วมกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ดีโอโก้ โชต้า โดยมี ทาคูมิ มินามิโนะ เป็นออปชั่นเสริม ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังคงเป็นตัวหลักในการไร้ล่าตาข่ายคู่แข่ง ด้าน ซาดิโอ มาเน่ คงจะได้พักในแมตช์นี้

    อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ อาจจะปรับหมากด้วยการเลือกพัก เทรนต์ อเล็กซ์เดอร์-อาร์โนลด์ และส่ง เนโก วิลเลี่ยมส์ ลงไปยืนประจำการแบ็กขวา ส่วนแผงกองกลางอาจจะยังคงใช้งาน เฮนเดอร์สัน กับ ไวจ์นัลดุม เพื่อหวังที่จะจัดการ มิดทิลแลนด์ ให้เด็ด

    ในส่วนของเกมรุกต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่สาวก "เดอะ ค็อป" หลายคนคาดหวังเอาไว้นั่นก็คือการได้เห็น มินามิโนะ ลงเล่นตัวจริงแทน ฟีร์มีโน่ โดยมี โชต้า กับ มาเน่ คอยยืนเคียงข้างขวาและซ้าย ส่วน "บังโม" ยังคงได้รับความไว้วางใจให้ยืนเป็นหน้าเป้าเหมือนเดิม

3. มิดทิลแลนด์ ไม่ได้แกร่งแต่ไม่หมูนะครับ

    แม้ว่า มิดทิลแลนด์ จะไม่ใช่สโมสรฟุตบอลที่หลายๆ คนรู้จักมากนัก แต่พวกเขาก็ถือเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จพอสมควร โดยทีมชุดนี้ได้กุนซือสมองเพชรอย่าง ไบรอัน พริสเก้ ทำหน้าที่วางหมาก และผงาดคว้าแชมป์ศึก เดนิช ซูเปอร์ลีก้า เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

    รวมไปถึงการคว้าแชมป์ลีกในซีซั่น 2014/2015 และ 2017/2018 นอกจากนี้พวกเขายังได้แชมป์ เดนิช คัพ เป็นสมัยแรกเมื่อฤดูกาล 2018–19 ผลงานของทีมชุดนี้ก็คล้ายๆ กับ ลิเวอร์พูล เพราะ มิดทิลแลนด์ เก็บได้ 13 คะแนนจากการแข่ง 6 แมตช์แรกในซีซั่นปัจจุบัน รั้งอันดับ 2 ในตารางลีกตามหลัง  ซอนเดอร์ไจสกี้ จ่าฝูง ด้วยผลต่างประตูได้เสียเท่านั้น

    แม้ว่าทีมของกุนซือไบรอัน พริสเก้ ลงเล่นเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก แมตช์แรกด้วยการแพ้ อตาลันต้า 0-4 คาบ้านก็ตาม แต่งานนี้มีหลายเสียงเห็นพ้องต้องการว่ารูปเกมของเจ้าบ้านไม่ควรแพ้สกอร์เยอะขนาดนี้ เนื่องจาก มิดทิลแลนด์ เล่นได้ดีเยี่ยมแต่ขาดแค่ความเฉียบคมเท่านั้น

    ที่สำคัญแมตช์นี้จะเป็นครั้งแรกที่ มิดทิลแลนด์ จะได้พบกับ ลิเวอร์พูล ฉะนั้นสิ่งนี้อาจจะเป็นแรงกระตุ้นที่ดีเยี่ยมที่ทำให้ผู้มาเยือนจากแดนโคนมมีพลังแฝงในการสู้กับแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลล่าสุด เพราะการชนะ "เดอะ เร้ดส์" ในแอนฟิลด์ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับทีมเล็กๆ และคงจะถูกจดจำในหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนังเลยทีเดียว

4. แอนฟิลด์ ดินแดนสยองสำหรับทีมเยือน

    ในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ต้องยอมรับว่าสนามแอนฟิลด์ เป็นสถานที่ที่ทีมเยือนต้องขาสั่น เพราะพวกเขาไม่แพ้ในบ้านเฉพาะเกมพรีเมียร์ลีกนานถึง 62 แมตช์เข้าไปแล้ว อย่างไรก็ตามในแมตช์ฟุตบอลถ้วยยุโรป เมกกะลูกหนังแห่งนี้ก็ยังคงมีมนต์ขลังเช่นกัน

    "เดอะ เร้ดส์" ไม่เคยแพ้ 2 นัดติดต่อกันกับการเล่น  90 นาทีในแอนฟิลด์ตลอด 45 แมตช์ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ซึ่งแน่นอนว่าสถิตินี้เป็นสิ่งที่น่าเกรงขามสำหรับทีมเยือนในการที่จะต้องดวลกับแชมป์ถ้วย "บิ๊กเอียร์" 6 สมัย

    สำหรับ ลิเวอร์พูล พวกเขาไม่แพ้ใครในบ้านสองนัดติดต่อกันนับตั้งแต่ฤดูกาล 2009/2010 โดยในครั้งนั้น ยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ โดนลูบคมด้วยฝีเกือกของ "โอแอล" โอลิมปิก ลียง และ "ม่วงมหากาฬ" ฟิออเรนติน่า ซึ่งสกอร์เท่ากันนั่นก็คือ 2-1

    ส่วนความพ่ายแพ้คาแอนฟิลด์ แมตช์ล่าสุดในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา เป็นเกมรับมือ "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด อย่างไรก็ตามชัยชนะ 3-2 ที่ทีมของกุนซือ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ทำได้ เกิดขึ้นจากการต้องลงเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

5. ส่อง 2 ระบบที่ คล็อปป์ จะนำมาใช้ในแมตช์รับมือ มิดทิลแลนด์

แผน 1

ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์

กองหลัง : เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

กองกลาง : จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, เจมส์ มิลเนอร์

แนวรุก : เซอร์ดาน ชากีรี่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ดีโอโก้ โชต้า

หน้าเป้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์

 แผน 2

ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์

กองหลัง : เนโก้ วิลเลี่ยมส์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

กองกลาง : จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

แนวรุก : ดีโอโก้ โชต้า, ทาคูมิ มินามิโนะ, ซาดิโอ มาเน่

หน้าเป้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์

“เอล กลาซิโก้” เดือด!เรอัลมาดริดบุกปะบาร์เซโลน่า “เบนเซม่า-เมสซี่” วัดคม

ศึก เอล กลาซิโก้ แห่งศักดิ์ศรี…"ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด เตรียมยกพลออกเยือนถิ่น "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า นัดนี้อาจเป็นการดวลความคมปิดสกอร์ของ คาริม เบนเซม่า กับ ลิโอเนล เมสซี่ ลุ้นระทึกได้ในศึกฟุตบอล ลา ลีกา สเปน วันเสาร์ที่ 24 ต.ค. ศกนี้ ถ่ายทอดสด : beIN SPORTS 1 (เวลา : 21.00 น.)
ปรีวิวฟุตบอลลา ลีกา สเปน
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563
บาร์เซโลน่า  –   เรอัล มาดริด
ถ่ายทอดสด : beIN SPORTS 1 (เวลา : 21.00 น.)

สนาม : คัมป์ นู

บาร์เซโลน่า :

    บาร์เซโลน่าไม่ชนะใครในเกมลีกมา 2 นัดติดต่อกันหลังเสมอเซบีย่า 1-1 และบุกไปพ่ายกรานาด้า 0-1 ก่อนจะคืนฟอร์มเก่งด้วยการเปิดบ้านไล่ถลุงเฟเรนซ์วารอส 5-1 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มจี นัดแรก

    ความพร้อมของอาซูลกราน่าในเกมนี้ โรนัลด์ คูมัน นายใหญ่ชาวดัตช์จะยังไม่สามารถใช้งาน มาร์ก-อันเดร แทร์ สเตเก้น นายทวารมือหนึ่งที่ยังคงพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าอยู่ในเวลานี้ ทำให้เนโต้จะได้รับโอกาสเฝ้าเสาต่อไป เช่นเดียวกันกับ ซามูแอล อุมติตี้ ที่ยังต้องพักรักษาตัวจากโรคเดี้ยงบริเวณหัวเข่าต่อไป

    อย่างไรก็ตาม อดีตนายใหญ่เซาธ์แฮมป์ตันจะได้ จอร์ดี้ อัลบา ที่สลัดอาการบาดเจ็บบริเวณเอ็นร้อยหวายกลับมาฝึกซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมได้แล้วและคงจะได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงทันทีในศึก "เอล กลาซิโก้" ทำให้ เซร์จินโญ่ เดสต์ ต้องกลับไปนั่งรอโอกาสที่ซุ้มม้านั่งสำรองอีกครั้ง

    แผงมิดฟิลด์ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ จะได้กลับมาบัญชาแดนกลางอีกครั้งหลังมีชื่อเป็นเพียงตัวสำรองในเกมกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ในตำแหน่งริมเส้น ฟรานซิสโก้ ตรินเกา ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมกับเฟเรนซ์วารอส จะได้รับโอกาสออกสตาร์ตในเกมนี้แทนที่ของ อองตวน กรีซมันน์ ที่ยังควานหาฟอร์มเก่งไม่เจอสักที

    ส่วนในตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้าเป็นหน้าที่ของ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ยิงได้ 2 ประตูและแอสซิสต์อีก 3 ครั้งจากการลงสนามไปแล้ว 5 นัดให้กับบาร์ซ่ารวมทุกรายการในฤดูกาลนี้

เรอัล มาดริด :

    เรอัล มาดริดแพ้มา 2 เกมรวดหลังพ่ายให้กับกาดิซ 0-1 ในเกมลีกนัดล่าสุดก่อนที่จะแพ้ให้กับชัคตาร์ โดเนตส์ค 2-3 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มบี นัดแรก

    แน่นอนว่า ซีเนดีน ซีดาน ผู้จัดการทีมเลือดน้ำหอมจะไม่มี เอแด็น อาซาร์, ดานี่ การ์บาฆาล และ มาร์ติน โอเดการ์ด ที่ยังคงต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ ส่วน มาเรียโน่ ดิอาซ และ อัลบาโร่ โอดริโอโซล่า คงจะยังไม่ฟิตพอที่จะลงสนามในเกมนี้

    ทางด้าน เซร์คิโอ รามอส ที่แยกตัวไปฝึกซ้อมเดี่ยวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาหลังจากที่โดนโรคเดี้ยงบริเวณหัวเข่าเล่นงานจนพลาดการช่วยทีมเมื่อเกมกลางสัปดาห์จะได้กลับมาคุมหลังบ้านให้กับราชันชุดขาว ขณะที่ นาโช่ เฟร์นานเดซ จะได้รับโอกาสในตำแหน่งแบ็กขวา ทำให้ แฟร์กล็อง เมนดี้ กลับไปยืนในตำแหน่งแบ็กซ้าย

    โดยที่ วินิซิอุส จูเนียร์, โทนี่ โครส และ คาริม เบนเซม่า ที่ถูกดร็อปเป็นเพียงตัวสำรองในเกมกับชัคตาร์ จะได้กลับมาเป็นตัวจริง รวมไปถึง ลูก้า โมดริช และ คาเซมีโร่ ก็จะได้ออกสตาร์ตอย่างต่อเนื่อง

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    บาร์เซโลน่า (4-2-3-1) : เนโต้ – เซร์จี้ โรเบร์โต้, เคราร์ด ปีเก้, เกลม็องต์ ล็องเล่ต์, จอร์ดี้ อัลบา – เฟร็งกี้ เดอ ยอง, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ – อันซู ฟาติ, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, ฟรานซิสโก้ ตรินเกา – ลิโอเนล เมสซี่
    ผู้จัดการทีม : โรนัลด์ คูมัน

    เรอัล มาดริด (4-3-3) : ติโบต์ กูร์กตัวส์ – นาโช่, ราฟาแอล วาราน, เซร์คิโอ รามอส, แฟร์กล็อง เมนดี้ – โทนี่ โครส, คาเซมีโร่, ลูก้า โมดริช – วินิซิอุส จูเนียร์, คาริม เบนเซม่า, มาร์โก อาเซนซิโอ
    ผู้จัดการทีม : ซีเนดีน ซีดาน

คาวานี่ต้องมา!ส่อง2แผนเด็ดแมนยูรับมือเชลซี

คาด 2 แผนเด็ดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะใช้รับมือ เชลซี ในเกม พรีเมียร์ลีก วันเสาร์นี้ หลังเพิ่งโชว์ฟอร์มเยี่ยมบุกไปอัด เปแอสเช ในถ้วยยุโรป
     โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังมีลุ้นพา "ปีศาจแดง" เก็บชัยชนะ 3 นัดติดในทุกรายการ หลังจากสองเกมที่ผ่านมาบุกไปถล่ม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 4-1 ใน พรีเมียร์ลีก และออกไปเฉือน ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 2-1 ในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

    แมนฯ ยูไนเต็ด มีโปรแกรมนัดต่อไปด้วยการเปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต้อนรับการมาเยือนของ เชลซี ใน พรีเมียร์ลีก วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคมนี้ โดยที่ โซลชา จะหมดสิทธิ์ใช้งาน อองโตนี่ มาร์กซิยาล กองหน้าชาวฝรั่งเศส ที่ยังติดโทษแบน แต่ เอดินสัน คาวานี่ ดาวยิงคนใหม่พร้อมลงสนามแล้ว

    ส่วนนักเตะรายอื่นๆ ที่ยังไม่พร้อมลงสนามคือ เอริกไบยี่ และ เจสซี่ ลินการ์ด ที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนทั้งคู่ และเกมนี้สื่ออังกฤษคาดว่า โซลชา จะใช้ 2 แท็กติกนี้ลงบู๊กับ เชลซี

    1. ระบบ 3-4-1-2

    โซลชา ใช้แผนนี้ได้ผลในเกมบุกไปชนะ เปแอสเช โดยเฉพาะ อั๊กเซล ตวนเซเบ้ ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมสามารถรับมือกับ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ และ เนย์มาร์ ได้อยู่หมัด

    ส่วนอีก 2 รายในระบบกองหลัง 3 คนน่าจะเป็น แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่ได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง และ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ โดยมี ดาบิด เด เคอา ยืนเฝ้าเสา

    ส่วนแผงกลาง 4 คนให้ อารอน วาน-บิสซาก้า กับ อเล็กซ์ เตลลิส ทำหน้าที่วิงแบ็ก ส่วนคู่กลางใช้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ กับ ปอล ป็อกบา

    ด้านแนวรุกให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส คอยทำเกมอยู่หลังคู่กองหน้า คาวานี่ กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด

    2. ระบบ 4-2-3-1

    แผนนี้จะกลับมาใช้ระบบกองหลัง 4 คน โดยให้ ตวนเซเบ้ ลงมาเป็นตัวจริงแทน แม็กไกวร์ คู่กับ ลินเดอเลิฟ ขณะที่ วาน-บิสซาก้า ทำหน้าที่แบ็กขวา และ ลุค ชอว์ ประจำการแบ็กซ้าย

    ส่วนมิดฟิลด์คู่กลางใช้ เนมานย่า มาติช ประสานงานกับ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ขณะที่ 3 แนวรุกให้ แดเนียล เจมส์ ยืนฝั่งขวา และ แรชฟอร์ด เล่นทางด้านซ้าย

    ด้าน บรูโน่ ยืนสูงคอยทำเกม อยู่หลัง คาวานี่ ที่จะทำหน้าที่กองหน้าตัวเป้า

คอลลีมอร์ชี้เป๊ปไม่ควรติดท็อป10กุนซือเก่งสุดโลก

สแตน คอลลีมอร์ ระบุ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ไม่ได้เก่งกาจชนิดที่ควรติดชาร์ต 10 กุนซือที่เก่งที่สุดในโลก โดยบอกว่าสิ่งที่ กวาร์ดิโอล่า ทำได้ในช่วงที่ผ่านมามันเทียบกับผลงานของคนแบบ ไบรอัน คลัฟ และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่ได้สักนิด
    สแตน คอลลีมอร์ อดีตกองหน้าของ ลิเวอร์พูล กล่าวว่าสำหรับตนแล้ว โจเซป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่คู่ควรกับการเป็น 10 กุนซือที่เก่งที่สุดตลอดกาลของวงการฟุตบอลด้วยซ้ำ

    กวาร์ดิโอล่า ได้รับการยกย่องจากหลายฝ่ายว่าเป็นหนึ่งในกุนซือชั้นยอดของยุคนี้ หลังจากประสบความสำเร็จในการคุมทีมอย่างล้นหลาม โดยที่ บาร์เซโลน่า เขาได้แชมป์อย่างเช่นแชมป์ลีก 3 สมัย, โกปา เดล เรย์ 2 ครั้ง และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 หน เป็นต้น ส่วนแชมป์ที่เขาได้กับ บาเยิร์น มิวนิค มีอย่างเช่นแชมป์ บุนเดสลีกา 3 ครั้ง กับ เดเอฟเบ-โพคาล 2 สมัย ขณะที่กับ แมนฯ ซิตี้ ที่ผ่านมาเขาพาทีมได้แชมป์ลีก 2 ครั้ง, แชมป์ เอฟเอ คัพ 1 หน และแชมป์ คาราบาว คัพ 3 รอบ

    คอลลีมอร์ กล่าวผ่านคอลัมน์ใน เดอะ มิร์เรอร์ สื่อของอังกฤษว่า "ถ้าเกิดมีคนเทเงินให้ผมหลายพันล้านปอนด์เพื่อเอาไปใช้กับทีมฟุตบอลแล้วล่ะก็ ผมก็มีโอกาสสูงที่จะทำให้ทีมมีผลงานที่ดีได้เป็นธรรมดา ดังนั้นต่อให้ฤดูกาลนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มันก็จะเป็นเพียงความสำเร็จที่ไม่ได้ยิง่ใหญ่จนน่าทึ่งอะไรมากนัก (หมายถึงในเมื่อที่ผ่านมา กวาร์ดิโอล่า ใช้เงินไปเยอะ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก)"

    "นอกจากนี้ ต่อให้ในช่วงซัมเมอร์ ปีหน้าเขาจะบอกลา เอติฮัด ไปพร้อมกับแชมป์รายการนั้น ผมก็ไม่ถือว่าเขาทำได้ดีพอกับการคุมทีมในอังกฤษจนถึงระดับคู่ควรกับการทำให้ผมมองว่าเขาเป็นกุนซือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอยู่ดี ต่อให้คนอายุไม่เกิน 30 ปีหลายคนจะพยายามโน้มน้าวใจให้ผมคิดแบบนั้นด้วยก็ตาม"

    "ในอีก 1 หรือ 2 ทศวรรษต่อจากนี้น่ะ ถ้าเกิดเรามองย้อนกลับมายังตอนนี้แล้วเนี่ย ผมก็ไม่คิดว่า กวาร์ดิโอล่า จะถูกมองว่าเป็นหนึ่งใน 10 กุนซือที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลด้วยซ้ำ เขาติด 20 อันดับแรกไหมน่ะเหรอ ? แน่นอนว่าเขาดีพอติดชาร์ตนั้น แต่ 10 อันดับแรกเนี่ยไม่มีทางเลย ส่วนอันดับ 1 น่ะเหรอ ? เขาไม่ใกล้เคียงกับตำแหน่งนั้นด้วยซ้ำ"

    "การจะถูกมองว่าคู่ควรกับการเป็นกุนซือที่เก่งที่สุดน่ะมันหมายความว่าคุณต้องไปรับงานคุมทีมยักษ์ใหญ่ที่อยู่ในช่วงตกต่ำระดับที่โดนคู่แข่งฝังจมมิด และเปลี่ยนให้ทีมนั้นกลายเป็นสโมสรที่สามารถครองความยิ่งใหญ่ในประเทศของตัวเองได้เกือบ 2 ทศวรรษ รวมถึงได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก สัก 2 สมัยด้วย เหมือนอย่างที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำได้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นแหละ"

    "หรือไม่อย่างนั้นคนที่จะเข้าข่ายนั้นได้ก็ต้องไปคุมทีมระดับธรรมดาๆ ที่ในทีมไม่ได้มีนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ แต่สามารถเปลี่ยนให้ทีมนั้นกลายเป็นแชมป์ของเกาะอังกฤษและได้แชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัย แบบที่ ไบรอัน คลัฟ ทำได้กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์"

    "สิ่งที่ ดอน เรวี่ ทำได้กับ ลีดส์ อาจจะดีพอให้เขาติด 5 อันดับแรก เช่นเดียวกับที่ จ็อค สตีน เคยประสบความสำเร็จอย่างมากกับที่ เซลติก นี่เรายังไม่ได้พูดถึงคนแบบ บิลล์ แชงค์ลี่ย์ หรือ บ็อบ เพสลี่ย์ อีกนะ แถมยังมีคนแบบ อาร์รีโก้ ซาคคี่, อูโด ลัทเทค หรือ โยฮัน ครัฟฟ์ ด้วย"

    "คุณต้องไม่ลืมว่า กวาร์ดิโอล่า ไม่ได้นำเสนอฟุตบอลที่แปลกใหม่เลย เขาก็แค่เอาสิ่งที่ ครัฟฟ์ ทำกับที่ บาร์เซโลน่า มาตีความก็เท่านั้น จริงอยู่ว้าเขาทำให้ ซิตี้, บาเยิร์น และ บาร์ซ่า เล่นฟุตบอลที่สวยงามได้ แต่ทีมหลังสุดมันเป็นทีมใหญ่ในเมืองของเขาเองอยู่แล้ว แถมเขาก็ได้ทำทีมโดยที่รับสืบทอดหนึ่งในคู่กองกลางที่เก่งที่สุดในวงการฟุตบอลสมัยใหม่มาใช้งาน (หมายถึง ชาบี เอร์นานเดซ กับ อันเดรส อิเนียสต้า) รวมถึงยังได้รับสืบทอดนักเตะที่ว่ากันว่าเก่งที่สุดตลอดกาลมาเป็นลูกทีมด้วย (หมายถึง ลิโอเนล เมสซี่)"

    "ใช่ เขาได้แชมป์ บุนเดสลีกา กับที่ บาเยิร์น 3 ครั้ง แต่เขาไม่ได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก กับที่นั่น และที่จริงพวกเขา (บาเยิร์น) ก็ได้แชมป์ลีกทั้งช่วงก่อนกับหลังจากที่ กวาร์ดิโอล่า ทำงานกับที่นั่นด้วย"

    "ถ้าเกิดว่า กวาร์ดิโอล่า เก่งถึงขนาดที่หลายคนพูดแล้วล่ะก็ เขาก็ควรจะทำให้ทีม (หมายถึง แมนฯ ซิตี้) เอาชนะคู่แข่งในตอนนี้ได้ทั้งหมดไปแล้วเมื่อพิจารณาถึงขุมกำลังสำรองที่เขามีให้ใช้งาน แต่พวกเขาทำอย่างนั้นไม่ได้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมมองว่าอย่างดีที่สุดน่ะเขาก็เป็นเพียงกุนซือสมัยใหม่ที่เก่งมากๆ ก็เท่านั้น มรดกที่เขาทำเอาไว้มันเทียบกับแบบของ คลัฟ และ เฟอร์กูสัน ไม่ได้เลย"

“มาร์กซิยาล” ยังแบน!แมนยูส่ง “คาวานี่” เปิดซิง,เชลซีกู้ชัย! “แวร์เนอร์” พร้อมล่า

อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ยังไม่สามารถลงช่วยทีมได้เหตุติดโทษแบน ขณะที่ เอดินสัน คาวานี่ น่าจะได้ลงประเดิมสนามเกม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดถิ่นรับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ที่ต้องการขุดฟอร์มเก่งโดยมี ติโม แวร์เนอร์ พร้อมล่าตาข่าย ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 24 ต.ค. ศกนี้  ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 23.30 น.)
ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563
แมนฯ ยูไนเต็ด   –   เชลซี
ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 23.30 น.)

สนาม : โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

แมนฯ ยูไนเต็ด :

    แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาคืนฟอร์มเก่งอีกครั้งใน 2 เกมที่ผ่านมาหลังบุกไปคว้าชัยเหนือ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 4-1 ในเกมลีกนัดล่าสุด ต่อด้วยการยัดเยียดความปราชัยให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 2-1 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอช นัดแรก เมื่อวันอังคารที่ 20 ตุลาคม

    ความพร้อมของปีศาจแดงในเกมนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือชาวนอร์เวย์ ออกมายืนยันว่า เอริก ไบยี่ ที่ไม่ได้ลงเล่นในเกมกลางสัปดาห์โดนโรคเดี้ยงบริเวณกล้ามเนื้อเล่นงาน ซึ่งจะทำให้กองหลังทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ และจะพลาดช่วยทีมในเกมที่จะพบกับสิงโตน้ำเงินคราม, แอร์เบ ไลป์ซิก, อาร์เซน่อล, อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ และ เอฟเวอร์ตัน โดยคาดว่าเจ้าตัวจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในเกมหลังช่วงพักเบรกทีมชาติที่จะเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของเวสต์บรอมวิช ในวันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน

    เช่นเดียวกันกับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้ลงสนามในเกมกับเปแอสเช หลังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากเกมทีมชาติ แต่อดีตนายใหญ่ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ หวังว่า เซนเตอร์แบ็กเลือดผู้ดี จะผ่านการทดสอบความฟิตกลับช่วยทีมได้ทันเวลา โดยจะจับคู่กับ อักเซล ตวนเซเบ้ ที่เพิ่งได้รับโอกาสลงสนามนัดแรกในรอบ 10 เดือน และทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจที่ปารีส ทำให้ เร้ด เดวิลส์ จะกลับมาใช้แผนการเล่น 4-2-3-1 ตามที่ถนัดอีกครั้ง

    ในแดนหน้า เร้ด เดวิลส์ จะยังไม่มี อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ติดโทษแบนเป็นเกมที่ 2 จาก 3 เกมจากการโดนใบแดงในเกมกับสเปอร์ส ซึ่งทำให้ดาวยิงตัวใหม่อย่าง เอดินสัน คาวานี่ จะได้โอกาสประเดิมสนามในเกมนี้ โดยมี มาร์คัส แรซฟอร์ด ที่เป็นฮีโร่ซีดประตูชัยให้กับทีมในเกมล่าสุดยืนริมเส้นฝั่งซ้าย และฝั่งขวาเป็น ฆวน มาต้า หลังยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เมสัน กรีนวู้ด ที่ไม่มีชื่ออยู่ในทีม 2 เกมหลังสุดนั้นเป็นเพราะอาการบาดเจ็บตามที่โซลชาออกมายืนยันหรือเป็นเพราะการขาดระเบียบวินัยจนถูกผู้บริหารทีมเตือนก็ตาม ขณะที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยืนอยู่หลังศูนย์หน้าตัวเป้าอย่าง คาวานี่

    ถึงแม้ว่า เจสซี่ ลินการ์ด พร้อมที่จะกลับมาช่วยทีมอีกครั้งแล้ว แต่ก็คงจะยังไม่มีชื่ออยู่ในทีม ส่วน ปอล ป็อกบา ก็จะต้องนั่งรอโอกาสอยู่ที่ซุ้มม้านั่งสำรองอีกตามเคย รวมไปถึง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค

เชลซี :

    เชลซีสะดุดไม่ชนะใครมา 2 เกมติดต่อกันหลังเสมอกับเซาธ์แฮมป์ตัน 3-3 ในเกมลีกนัดที่แล้วและเจ๊ากับเซบีย่า 0-0 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม อี นัดแรก

    สภาพทีมของสิงโตน้ำเงินคราม ค่อนข้างสมบูรณ์ดีทีเดียวหลังขาดเพียงแค่ บิลลี่ กิลมอร์ ที่ยังคงต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าอยู่ในเวลานี้ ขณะที่ เอดูอาร์ เมนดี้ สลัดโรคเดี้ยงกลับมาเฝ้าเสาได้ในเกมที่พบกับเซบีย่า และช่วยให้ทีมไม่เสียประตูได้อีกด้วย

    ก่อนหน้านี้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือหนุ่มไฟแรง ออกมาปฏิเสธถึงความกังวลเกี่ยวกับสภาพร่างกายของ ติอาโก้ ซิลวา เป็นที่เรียบร้อยแล้วหลังจากที่เจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บรบกวนจากการปะทะกับผู้เล่นเซบีย่า ในครึ่งหลังของเกมดังกล่าว แต่สุดท้ายก็สามารถลงสนามได้ครบ 90 นาที

    ขณะที่ ฮาคิม ซิเย็ค ดาวเตะป้ายแดง ที่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมายังคงต้องรอโอกาสออกสตาร์ตเป็นตัวจริงนัดแรกต่อไป

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    แมนฯ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา – อารอน วาน-บิสซาก้า, อักเซล ตวนเซเบ้, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, อเล็กซ์ เตลลิส –  สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด – ฆวน มาต้า, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, มาร์คัส แรชฟอร์ด – เอดินสัน คาวานี่
    ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

    เชลซี (4-2-3-1) : เอดูอาร์ เมนดี้ – รีซ เจมส์, ติอาโก้ ซิลวา, คูร์ท ซูม่า, เบน ชิลเวลล์ – จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ –  เมสัน เมาน์ท, ไค ฮาแวร์ทซ์, คริสเตียน พูลิซิช – ติโม แวร์เนอร์
    ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด

    ผู้ตัดสิน : มาร์ติน แอตกินสัน

 

แมนซิตี้มี”เดอ บรอยน์”บุกมาร์กเซยของ”โตแว็ง”ลุ้นยึดหัวฝูงชปล.

"เรือใบสีฟ้า" แมนซิตี้ จำเป็นต้องเค้นฟอร์มเก่งให้ได้ หลังนัดลีกล่าสุดพลาดเสมอ หากชนะเกมนี้จะยึดหัวฝูงกลุ่มต่อไป งานนี้ เควิน เดอ บรอยน์ ขับเคลื่อนเกมรุกบุกถิ่น โอลิมปิก มาร์กเซย ที่มี ฟลอริย็อง โตแว็ง เป็นทีเด็ดแมตช์นี้ ในการแข่งขันศึกฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มซี คืนวันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
ปรีวิวยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มซี
คืนวันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563
โอลิมปิก มาร์กเซย (ฝรั่งเศส) – แมนฯ ซิตี้ (อังกฤษ)
เวลา : 03.00 น. ถ่ายทอดสด : บีอินส์ สปอร์ต 1
สนาม : ออเร้นจ์ เวโลโดรม

    โอแอ็ม สตาร์ตรอบแบ่งกลุ่ม ชปล. ด้วยการออกไปแพ้โอลิมเปียกอส 0-1 และบุกชนะลอริยองต์ 1-0 ในเกมลีก เอิง เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

    กุนซือ อันเดร วิลลาช-โบอาช ไร้ปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บและติดโทษแบน หลังจากได้ ดิมิทรี ปาเยต มิดฟิลด์เชิงรุกพ้นโทษแบน 2 นัด ในลีก เอิง กลับมาพร้อมช่วยทีม ส่วนบูบาการ์ กามาร่า แข้งทีมชาติฝรั่งเศส ชุดยู-21 หายเจ็บที่หน้าแข้ง กลับคืนสนามแล้ว

    เกมนี้ สตีฟ ม็องด็องด้า นายทวารกัปตันทีมลงเฝ้าเสา แนวรับประกอบด้วย ฮิโรกิ ซากาอิ, อัลบาโร่ กอนซาเลซ, เลโอนาร์โด้ บาเลร์ดี้ และ จอร์ดาน อมาวี่

    แดนกลาง วาล็องแต็ง รงชิเย่ร์ ขับเคลื่อนเกมร่วมกับ บูบาการ์ กามาร่า และ มอร์กกาน ซ็องซง 

    แผงรุกจัดสามประสาน ฟลอริย็อง โตแว็ง, ดาริโอ เบเนเด็ตโต้ และ ดิมิทรี ปาเยต ลงประสานงานกัน
       
    แมนฯ ซิตี้ เริ่มต้นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการพิชิตปอร์โต้ 3-1 และเสมอเวสต์แฮม 1-1 ในเกมพรีเมียร์ลีกล่าสุด

    กุนซือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ขาดตัวเจ็บอย่าง แฟร์นันดินโญ่, เบนฌาแม็ง เมนดี้ และ กาเบรียล เชซุส 

    ส่วน เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" เจ็บเอ็นหลังหัวเข่าเพิ่มต้องรอทดสอบความฟิต ซึ่งโอกาสชวดสูงมาก เช่นเดียวกับ เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์ และ นาธาน อาเก้ สองแนวรับที่ไม่สมบูรณ์

    ขณะที่ เควิน เดอ บรอยน์ ฟิตกลับมาเป็นสำรองได้ในเกมล่าสุด และน่าจะกลับมาออกสตาร์ตตัวจริง โดย ราฮีม สเตอร์ลิง จะยืนเป็นหน้าเป้า พร้อมเปิดโอกาสให้ เฟร์ราน ตอร์เรส และ ฟิล โฟเด้น สลับมาเป็น 11 คนแรก

    แดนกลาง โรดรี้ เอร์นานเดซ กับ อิลคาย กุนโดกัน คอยขับเคลื่อนเกม

    สำหรับแนวรับยึดชุดเดิม ไคล์ วอล์คเกอร์, รูเบน ดิอาส, เอริก การ์เซีย และ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ เช่นเดียวกับนายประตู เอแดร์ซอน โมราเอส
    

11 นักเตะตามคาด   

    โอลิมปิก มาร์กเซย (4-3-3) : สตีฟ ม็องด็องด้า – ฮิโรกิ ซากาอิ, อัลบาโร่ กอนซาเลซ, เลโอนาร์โด้ บาเลร์ดี้, จอร์ดาน อมาวี่ – วาล็องแต็ง รงชิเย่ร์, บูบาการ์ กามาร่า, มอร์กกาน ซ็องซง – ฟลอริย็อง โตแว็ง, ดาริโอ เบเนเด็ตโต้, ดิมิทรี ปาเยต

    เทรนเนอร์ : อันเดร วิลลาช-โบอาช

    แมนฯ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน โมราเอส – ไคล์ วอล์คเกอร์, รูเบน ดิอาส, เอริก การ์เซีย, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ – โรดรี้ เอร์นานเดซ, อิลคาย กุนโดกัน, เควิน เดอ บรอยน์ – เฟร์ราน ตอร์เรส, ราฮีม สเตอร์ลิง, ฟิล โฟเด้น

    เทรนเนอร์ : เป๊ป กวาร์ดิโอล่า 

    ผู้ตัดสิน : โทเบียส สตีเลอร์ (เยอรมัน)    

ลิเวอร์พูลเฮ “ติอาโก้” คืนทัพ! “ซาลาห์-มาเน่” นำตะบันเชฟยูส่งบรูว์สเตอร์ลุ้นยิงทีมเก่า

"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล จะได้ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ที่หายเจ็บกลับมาเคลื่อนทัพแดนกลาง ขณะที่แผงแนวรุก โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ พร้อมประสานคมพักตาข่ายเกมรับ "ดาบคู่" เชฟฯ ยูไนเต็ด ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 24 ต.ค. ศกนี้  ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 02.00 น.)
ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563
ลิเวอร์พูล   –   เชฟฯ ยูไนเต็ด
ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 02.00 น.)

สนาม : แอนฟิลด์

ลิเวอร์พูล :

    ลิเวอร์พูลบุกไปเสมอกับเอฟเวอร์ตัน 2-2 ในเกมลีกนัดล่าสุดก่อนที่จะเฉือนชนะ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 1-0 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี นัดแรก

    ความพร้อมของหงส์แดงในเกมนี้จะไม่มี เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่มีอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่ารบกวนจนต้องเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งจะทำให้กองหลังทีมชาติฮอลแลนด์ ต้องหยุดสถิติออกสตาร์ตเป็นตัวจริงในเกมลีกเอาไว้ 94 นัดติดต่อกัน นอกจากนี้ อลีสซง เบ็คเกอร์ ยังคงต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ โดยเป็นที่คาดกันว่า จอมหนึบทีมชาติบราซิล จะกลับมาเฝ้าเสาได้ก่อนสิ้นเดือนนี้

    แต่มีข่าวดีคือ ติอาโก้ อัลกันตาร่า พร้อมที่จะกลับมาช่วยทีมในเกมนี้หลังจากที่สลัดอาการบาดเจ็บจากการปะทะกับ ริชาร์ลิซอน จน ดาวยิงบราซิเลียน โดนใบแดงไล่ออกจากสนามในเกมลีกนัดก่อน

    ในแผงหลัง ฟาบินโญ่ คงจะได้รับโอกาสลงสนามในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กต่อไป โดยจะจับคู่กับ โจ โกเมซ เช่นเดิมหลัง อดีตแข้ง อาแอส โมนาโก โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจในเกมกับอาแจ็กซ์ถึงแม้ว่า โฌแอล มาติป พร้อมที่จะกลับมาช่วยทีมแล้วก็ตาม

    ส่วนในแดนหน้า เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน คงจะยึดผู้เล่นชุดเดิมต่อไป ซึ่งก็คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ทั้งที่ ฟีร์มีโน่ ถูกตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับสภาพความฟิตของเขา รวมทั้ง ดีโอโก้ โชต้า ที่ได้ลงมาเป็นตัวสำรองจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมกลางสัปดาห์ก็ตาม

    ด้าน นาบี เกอิต้า และ คอสตาส ซิมิกาส ก็สลัดอาการบาดเจ็บเตรียมกลับเข้ามาสู่ทีมอีกครั้ง ขณะที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ยังคงต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานาน

เชฟฯ ยูไนเต็ด :

    เชฟฯ ยูไนต็ด ยังคงหวานหาชัยชนะนัดแรกในฤดูกาลนี้ไม่เจอหลังไม่ชนะใครมา 6 เกมแล้วรวมทุกรายการ เกมลีกนัดล่าสุดเปิดบ้านเสมอกับฟูแล่ม 1-1

    ทีมเยือนกำลังประสบปัญหาผู้เล่นโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แจ็ค โอคอนเนลล์ ที่โดนโรคเดี้ยงบริเวณหัวเข่าเล่นงานจนต้องเข้ารับการผ่าตัดและคงจะต้องพักรักษาตัวในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้ รวมทั้ง จอห์น เฟล็ค, ลีส์ มูสเซ และ แม็กซ์ ลอว์ ที่ถูกส่งประเดิมสนามในเกมลีกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่อยู่ในสนามได้เพียง 19 นาทีเท่านั้นหลังจากที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บและอาจจะไม่สามารถลงสนามได้ในเกมนี้

    ทำให้ คริส ไวล์เดอร์ ผู้จัดการทีม คงจะส่ง อีธาน อัมปาดู ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงอีกครั้ง โดยที่ เอ็นดา สตีเว่นส์ จะขยับจากตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กฝั่งซ้ายกลับไปยืนตำแหน่งวิงแบ็กซ้าย

    ขณะที่ในแนวรุก รีอาน บรูว์สเตอร์ จะได้ลงสนามเป็นตัวจริงเผชิญหน้ากับต้นสังกัดเก่า ซึ่งไวล์เดอร์ก็หวังว่าบรูว์สเตอร์จะงัดฟอร์มเก่งออกมาเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เจ้านายเก่า รู้สึกว่า เขาคิดผิดที่ปล่อยตัวแข้งรายนี้ออกจากทีม

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อาเดรียน, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, ฟาบินโญ่, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – ติอาโก้ อัลกันตาร่า, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, นาบี เกอิต้า – โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่
    ผู้จัดการทีม : เจอร์เก้น คล็อปป์

    เชฟฯ ยูไนเต็ด (3-5-2) : อารอน แรมส์เดล – คริส บาแชม, อีธาน อัมปาดู, จอห์น เอแกน – จอร์จ บัลด็อค, จอห์น ลุนด์สแตรม, โอลิเวอร์ นอร์วู้ด, ซานเดอร์ เบิร์ก, เอ็นดา สตีเว่นส์ – โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่, รีอาน บรูว์สเตอร์
    ผู้จัดการทีม : คริส ไวล์เดอร์

    ผู้ตัดสิน : ไมค์ ดีน

แนวรับแกร่ง,คาวานี่เกือบยิง!ตัดเกรดแข้งแมนยูเกมเจ๊าจืดเชลซี

เกมบิ๊กแมตช์ในศึก พรีเมียร์ลีก ที่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ เชลซี เมื่อคืนวันเสาร์ จบลงด้วยการเสมอกันไป 0-0 โดยที่ "ปีศาจแดง" มีโอกาสได้ลุ้นมากกว่า แต่จบกันไม่คม แถมต้องซูฮกความเหนียวหนึบของนายประตูทีมคู่แข่งด้วย ส่วนแนวรับถือว่าต้องชื่นชม เพราะทำให้ "สิงห์บลูส์" แทบไม่มีโอกาสได้ลุ้นทำประตูเลย และนี่คือผลสอบของนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ละคนในแมตช์นี้
11 ผู้เล่นตัวจริง

 – ดาบิด เด เคอา : 6
  เจองานไม่หนัก ตลอดทั้งเกมได้เซฟเบาๆ หนเดียว 


 

 – อารอน วาน-บิสซาก้า : 7
  เกมรุกอาจยังไม่มีทีเด็ด แต่เกมรับยังคงไว้ใจได้ ซึ่งถือเป็นการสานต่อผลงานอันยอดเยี่ยมจากเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ช่วงกลางสัปดาห์

 – วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ : 7.5
  เป็นเกมที่เล่นได้แข็งแกร่ง รับมือได้ทุกรูปแบบ จัดการกับ ติโม แวร์เนอร์ ได้อย่างยอดเยี่ยม

 – แฮร์รี่ แม็กไกวร์ (C) : 7
  คุมแนวรับได้ดี เคลียร์บอลทิ้งได้ตลอด และชนะการดวลลูกกลางอากาศได้แบบ 100% (5/5)

 – ลุค ชอว์ : 6
  อาจจะไร้ข้อผิดพลาด แต่ดูเหมือนเล่นแบบกองหลังสามตัวได้ดีกว่าแบบสี่ตัว แถมมีปัญหาในการรับมือกับ รีส เจมส์ บางจังหวะ


 

 – สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ : 6.5
  ช่วยเกมรับได้ดี ทำให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เล่นด้วยความยากลำบาก แต่เสียเวลากับบอลมากไปหน่อย

 – เฟร็ด : 7
  สู้กับแดนกลาง เชลซี ได้ดี โดยเฉพาะการตัดบอล ซึ่งเจ้าตัวทำได้ 3 ครั้ง ถือว่ามากสุดในทีม "ปีศาจแดง" เท่ากับ แม็คโทมิเนย์ 


 

 – ฆวน มาต้า : 6.5
  เล่นได้โอเคเลย สร้างโอกาสสวยๆ หลายครั้ง แถมมียิงได้ลุ้น 1 หนด้วย แต่โดยรวมได้บอลน้อยไปหน่อย ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกช่วงครึ่งหลัง

 – บรูโน่ แฟร์นันด์ส : 7
  อาจจะดูเงียบๆ แต่สร้างโอกาสให้เพื่อนลุ้นทำประตูถึง 4 หน มากสุดเหนือทุกคนในสนามเกมนี้


 

 – แดเนี่ยล เจมส์ : 5
  เป็นอีกหนึ่งเกมที่น่าผิดหวังสำหรับปีกชาวเวลส์ ไม่แปลกใจที่ถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง

 – มาร์คัส แรชฟอร์ด : 7
  ช่วง 10 นาทีสุดท้ายครึ่งแรก มีโอกาสหลุดเข้าไปยิงเน้นๆ แต่ติดเซฟ เอดูอาร์ เมนดี้ หลังนั้นก็เล่นได้อันตรายเป็นระยะ แต่การตัดสินใจจังหวะสุดท้ายยังไม่ดี

 

สำรองที่ได้ลงเล่น

 – ปอล ป็อกบา (แทน มาต้า น. 58) : 6.5
  ช่วยยกระดับการทำเกมในแดนกลางได้ดี แต่ช่วงท้ายเกมน่าจะทำได้ดีกว่านี้กับการยิงบริเวณกรอบเขตโทษ

 

 – เอดินสัน คาวานี่ (แทน เจมส์ น. 58) : 6
  ใช้เวลาอยู่ในสนามเพียงไม่กี่วินาที ก็ได้ลุ้นทำประตูแบบเสียวๆ ทันที และช่วงท้ายเกมมีได้ลุ้นอีกครั้งด้วย แม้ไร้สกอร์ แต่ก็โชว์ให้เห็นถึงเซนส์บอลของดาวยิงระดับเวิลด์คลาส

 – เมสัน กรีนวู้ด (แทน แม็คโทมิเนย์ น. 83) : –
  ไม่สามารถให้คะแนนได้

พร้อมแล้ว !! เอดินสัน คาวานี่ ฟิตเต็มถังลุ้นยิง เชลซี แม็กไกวร์ กรีนวู้ด คืนทีม

      เอดินสัน คาวานี่ ศูนย์หน้าป้ายแดง แมนยู ลุ้นประเดิมสนามเกมแรกหลังมีรายชื่ออยู่ในทีมชุดเปิดบ้านรับมือ เชลซี โปรแกรมบอล พรีเมียร์ลีก เสาร์นี้ หลังพลาดเกมกับ เปแอสเช ช่วงกลางสัปดาห์ จากการรายงานของ Metro สื่อชื่อดังต่างประเทศ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2563

        แมนยู ที่เพิ่งคืนฟอร์มเก่ง หลังผลบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาบุกไปเอาชนะ เปแอสเช ได้ถึงถิ่น 2-1 และโปรแกรมบอล พรีเมียร์ลีก เสาร์นี้ทีมปีศาจแดงมีคิวเปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทำศึกบิ๊กแมตช์กับ เชลซี โดยศูนย์หน้าป้ายแดงอย่าง เอดินสัน คาวานี่ ฟิตสมบูรณ์พร้อมลงสนาม

        ดาวยิงวัย 33 ปี พลาดการลงเล่นกับทีมเก่าของเขาช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาเนื่องจากสภาพร่างกายยังไม่สมบูรณ์ แต่สำหรับเกมในสุดสัปดาห์นี้ เอดินสัน คาวานี่ พร้อมแล้วที่จะลงสนามเป็นเกมแรกในสีเสื้อปีศาจแดง เช่นเดียวกับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ เมสัน กรีนวู้ด ที่พลาดเกมกับ เปแอสเช มาด้วยเช่นกัน

        "ผมหวังว่าพวกเขาทั้งสามคนจะฟิตสมบูรณ์และพร้อมที่จะเป็นตัวเลือกในเกมกับทีมสิงห์บลูส์สุดสัปดาห์นี้ แน่นอนว่าเรามีการฝึกซ้อมครั้งสุดท้ายเพื่อเตรียมตัวซึ่งพวกเขาทุกคนล้วนมีโอกาสที่จะได้ลงสนาม เอดินสัน จะต้องฝึกซ้อมตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ให้ครบ เช่นเดียวกับ เมสัน และ แฮร์รี่ ซึ่งมันผ่านไปได้ด้วยดี" โซลชาร์ กล่าว

        ทั้งนี้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล กองหน้าทีมชาติฝรั่งเศส ยังคงติดโทษแบนอยู่ ทำให้สตาร์ทีมชาติอุรุกวัยมีลุ้นออกสตาร์ตเป็นตัวจริงกับ เชลซี โดยคาดว่ากุนซือชาวนอร์เวย์จะใช้แผนการเล่นเดียวกับเกมที่บุกชนะทีมแชมป์ลีกเอิง

คล็อปป์เป่าปาก! อาแจ็กซ์ยิงตัวเอง-ลิเวอร์พูลบุกเฉือนหวิว เปิดหัวชปล.

"หงส์แดง" ฟอร์มเหนียวแน่นทั้งที่มีปัญหาแนวรับ แต่ยังบุกไปคว้าชัยเหนือ อาแจ็กซ์ หวุดหวิด 1-0 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ นิโกลัส ตายาฟิโก้ ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล ประเดิมสามแต้มแรก ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

สนาม :  โยฮัน ครัฟฟ์ อารีน่า

    เอริค เทน ฮาก เกมนี้ไม่มีปัญหาเท่าไหร่จัดตัวเก่งทั้ง ดาวิด เนเรส, โมฮัมเหม็ด คูดาส และดูซาน ทาดิช ส่วนทางฝั่ง "หงส์แดง" มาในสภาพทีมไม่สมบูรณ์หลังแนวรับมีปัญหาลงไม่ได้ทั้ง เฟอร์กิล ฟานไดค์ และโฌแอล มาติป ทำให้ ฟาบินโญ่ ต้องยืนเซ็นเตอร์แบ็กคู่กับ โจ โกเมซ แทนส่วนแนวรุกยังเป็น 3 ประสานทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่

    ครึ่งแรกเริ่มมาได้แค่ 9 นาที เจ้าบ้าน อาแจ็กซ์ ต้องเปลี่ยนตัวคนแรกอย่างรวดเร็วหลัง โมฮัมเหม็ด คูดาส เล่นต่อไม่ไหวทำให้ต้องส่ง ควินซี่ โพรเมส ลงมาเล่นแทน

    นาที 15 อาเดรียน นายด่านของ "หงส์แดง" เกือบทำพลาดหลังออกบอลด้วยเท้าหน้าประตูตัวเองไปติดบล็อคแข้งเจ้าถิ่น แต่ดีที่บอลกระเด้งไปตรงกรอบ

    ก่อนเจ้าถิ่นจะได้เตะมุมในนาทีถัดมา บอลต่อเนื่องจาก ดูซาน ทาดิช เปิดยาวไปเสาไกลให้ ลิซานโดร มาร์ติเนซ เซ็นเตอร์แบ็กเทกตัวขึ้นโขกแต่บอลยังไปตรงตัว อาเดรียน

    "หงส์แดง" ได้ลุ้นบ้าง นาที 19 เจมส์ มิลเนอร์ ซัดนอกกรอบแต่บอลก็ไม่ได้ลุ้น อีกนาทีถัดมา เคอร์ติส โจนส์ ยิงด้วยซ้ายนอกกรอบแต่บอลก็เบาไปเข้ามือ โอนาน่า อีก

    นาที 32 อาแจ็กซ์ พลาดโอกาสลุ้นขึ้นนำ หลัง ดาวิด เนเรส  เปิดบอลให้  ควินซี่ โพรเมส หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปยิงติดเซฟของ อาเดรียน

    นาที 35 ประตูแรกของเกมเป็นทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่บุกมานำไปก่อน 1-0 จากจังหวะที่ มิลเนอร์ ทุ่มบอลเข้ามาให้ ซาดิโอ มาเน่ พลิกบอลหลบเข้าปในกรอบก่อนหวดด้วยขวา บอลพุ่งไปโดนขา นิโกลัส ตายาฟิโก้ กลายเป็นเปลี่ยนทางเสียบเสาสองเข้าประตูตัวเองไป

    นาที 40 แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน สปีดพาบอลจากแดนตัวเองขึ้นมาถึงหน้ากรอบก่อนไหลออกขวาให้ ซาลาห์ เลี้ยงตัดเข้าซ้ายข้างถนัดแต่จังหวะสุดท้ายดันยิงไปติดบล็อคอย่างน่าเสียดาย

    นาที 44 "หงส์แดง" เกือบพลาดเสียประตู หลัง ดูซาน ทาดิช หลุดเข้าไปกระดกบอลข้ามหัว อาเดรียน กำลังจะเข้าประตูไปแล้ว แต่ ฟาบินโญ่ ยังวิ่งตามไปสกัดบอลบนเส้นอย่างหวุดหวิด

    อีกนาทีถัดมา โรเบิร์ตสัน กระชากบอลก่อนเปิดไปให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ โขกแต่บอลยังไปติดเซฟของ อ็องเดร โอนาน่า

    จบครึ่งแรก อาแจ็กซ์ ตามหลัง ลิเวอร์พูล 0-1

    ครึ่งหลังกลับมาบู๊กันแค่ นาที 46 เจ้าบ้านเกือบได้ลูกตีเสมอหลัง ดาวี่ คลาสเซ่น ซัดบอลนอกกรอบผ่านมือ อาเดรียน ไปแล้วแต่ยังไปแม่นเสาอย่างน่าเสียดาย

     เกมแลกกันสนุก นาที 57 ทัพหงส์ได้ลุ้นจากลูกเตะมุม แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เปิดมาเข้าหัว ฟาบินโญ่ โหม่งเน้นๆแต่บอลไปติดผู้เล่นเจ้าถิ่นออกหลังหวุดหวิด

    อีกนาทีถัดมา แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่วันนี้โดดเด่นสุดๆ ครอสบอลไปหน้ากรอบให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ขึ้นโขกหลุดกรอบออกไป

    ทว่าหงส์บุกเพลินๆ เกือบโดน อาแจ็กซ์ ตีเสมอ นาที 58 บอลสวนกลับของ นูส์แซร์ มาซราอูย แบ็กขวาครอสมาให้ ควินซี่ โพรเมส ยิงเน้นๆแต่ยังไปติดเซฟของ อาเดรียน ปัดออกหลัง

    นาที 60 เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนรวดเดียว 3 คน ถอดสามแนวรุกทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ออกแล้วส่ง เซอร์ดาน ชากิรี่, ทาคูมิ มินามิโนะ และดีโอโก้ โชต้า ลงไปเล่นแทน

    อีก 10 นาทีถัดมา ทาคูมิ มินามิโนะ เกือบใส่สกอร์ที่สองให้ลิเวอร์พูล หลังรับลูกจาก ชากิรี่ ก่อนตั้งป้อมตะบันไกลเต็มแรงบอลพุ่งจน อ็องเดร โอนาน่า ต้องปัดออกไป

    ช่วงเวลาที่เหลือ เจ้าถิ่นไม่สามารถทวงประตูคืนได้ จบเกม อาแจ็กซ์ พ่ายคาบ้านให้ ลิเวอร์พูล 0-1

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

         อาแจ็กซ์ (4-3-3) : อ็องเดร โอนาน่า – นูส์แซร์ มาซราอูย, แปร์ ชูร์ส์,  ลิซานโดร มาร์ติเนซ, นิโกลัส ตายาฟิโก้ –  ไรอัน กราเวนเบิร์ค, ดาเล่ย์ บลินด์, ดาวี่ คลาสเซ่น – ดาวิด เนเรส, โมฮัมเหม็ด คูดาส (ควินซี่ โพรเมส น.9), ดูซาน ทาดิช

         ผู้จัดการทีม : เอริค เทน ฮาก

         ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อาเดรียน – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – เคอร์ติส โจนส์, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม, เจมส์ มิลเนอร์ – โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่
 
       ผู้จัดการทีม :  เจอร์เก้น คล็อปป์

         ผู้ตัดสิน : เฟลิกซ์ ไบรช์ (เยอรมัน)